ไม่มีการเรียนการสอนเนื่องจากสอบกลางภาค
วันอังคารที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2556
วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม 2556
บันทึกการเรียนครั้งที่ 6
การเรียนการสอน
พัฒนาการของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
-การเปลี่ยนแปลงในด้านการทำหน้าที่และวุฒิภาวะของอวัยวะต่างๆรวมทั้งตัวบุคคล
-ทำให้สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ปัจจัยที่มีผลต่อพัฒนาการเด็ก
-ด้านชีวภาพ
-สภาพแวดล้อมก่อนคลอด
-กระบวนการคลอด
-สภาพแวดล้อมหลังคลอด
สาเหตุที่ทำให้เกิดความบกพร่องทางพัฒนาการ
1.โรคทางพันธุกรรม
2.โรคทางระบบประสาท
3.การติดเชื้อตั้งแต่อยู่ในครรภ์
4.ความผิดปกติเกี่ยวกับเมตาบิลิซึม
5.ภาวะแทรกซ้อนระยะแรกเกิด
6.สารเคมี
7.การเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสมรวมทั้งการขาดสารอาหาร
อาการของเด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ
1.มีพัฒนาการที่ล่าช้าซึ่งอาจจะพบมากกว่า 1 ด้าน
2.ปฏิกิริยาสะท้อนไม่หายไปแม้จะถึงช่วงอายุที่ควรจะหายไป
สะท้อนสิ่งที่ได้จากการเรียนการสอน
เด็กจะมีพัฒนาการที่ต่อเนื่องและพัฒนาการของเด็กแต่ล่ะคนจะไม่เหมือนกัน ผู้เป็นแม่ควรดูแลเด็กตั้งแต่ในครรภ์ เด็กควรได้รับการดูแลที่ดี
การเรียนการสอน
พัฒนาการของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
-การเปลี่ยนแปลงในด้านการทำหน้าที่และวุฒิภาวะของอวัยวะต่างๆรวมทั้งตัวบุคคล
-ทำให้สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ปัจจัยที่มีผลต่อพัฒนาการเด็ก
-ด้านชีวภาพ
-สภาพแวดล้อมก่อนคลอด
-กระบวนการคลอด
-สภาพแวดล้อมหลังคลอด
สาเหตุที่ทำให้เกิดความบกพร่องทางพัฒนาการ
1.โรคทางพันธุกรรม
2.โรคทางระบบประสาท
3.การติดเชื้อตั้งแต่อยู่ในครรภ์
4.ความผิดปกติเกี่ยวกับเมตาบิลิซึม
5.ภาวะแทรกซ้อนระยะแรกเกิด
6.สารเคมี
7.การเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสมรวมทั้งการขาดสารอาหาร
อาการของเด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ
1.มีพัฒนาการที่ล่าช้าซึ่งอาจจะพบมากกว่า 1 ด้าน
2.ปฏิกิริยาสะท้อนไม่หายไปแม้จะถึงช่วงอายุที่ควรจะหายไป
สะท้อนสิ่งที่ได้จากการเรียนการสอน
เด็กจะมีพัฒนาการที่ต่อเนื่องและพัฒนาการของเด็กแต่ล่ะคนจะไม่เหมือนกัน ผู้เป็นแม่ควรดูแลเด็กตั้งแต่ในครรภ์ เด็กควรได้รับการดูแลที่ดี
วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน 2556
บันทึกการเรียนครั้งที่ 4
การเรียนการสอน
6. เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
-เด็กที่ควบคุมอารมณ์ให้อยู่ในสภาพปกตินานๆไม่ได้
-เด็กที่ควบคุมพฤติกรรมบางอย่างของตนเองไม่ได้
-ไม่สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างเรียบร้อย
เด็กสมาธิสั้น
-เด็กซนไม่อยู่นิ่ง ซนมากผิดปกติ เคลื่อนไหวตลอดเวลา
-เด็กบางคนมีปัญหาเรื่องสมาธิบกพร่อง อาการหุนหันพลันแล่น
7.เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้
-เรียก ย่อๆว่า L.D.
-เด็กที่มีปัญหาการเรียนรู้เฉพาะอย่าง
-มีปัญหาการใช้ภาษา หรือการพูด การเขียน
-ไม่นับรวมเด็กที่มีปัญหาเพียงเล็กน้อยทางการเรียน เด็กที่มีปัญหาเนื่องจากความพิการหรือความบกพร่องทางร่างกาย
8.เด็กออทิสติก
-เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ออทิซึ่ม
-เด็กที่มีความบกพร่องอย่างรุนแรงในการสื่อสารความหมาย
-เด็กออทิสติกแต่ล่ะคนจะมีเอกลักษณ์ของตนเอง
-ติดตัวไปตลอดชีวิต
9.เด็กพิการซ้ำซ้อน
-เด็กที่มีความบกพร่องมากกว่า 1 อย่าง เป็นเหตุให้เกิดปัญหาในการเรียนรู้อย่างมาก
-เด็กปัญญาอ่อนที่สูญเสียการได้ยิน
-เด็กปัญญาอ่อนที่ตาบอด
-เด็กที่ทั้งหูหนวกและตาบอด
สะท้อนสิ่งที่ได้จากการเรียนการสอน
รู้และเข้าใจเด็กที่มีความต้องการพิเศษในแต่ละประเภท
การเรียนการสอน
6. เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
-เด็กที่ควบคุมอารมณ์ให้อยู่ในสภาพปกตินานๆไม่ได้
-เด็กที่ควบคุมพฤติกรรมบางอย่างของตนเองไม่ได้
-ไม่สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างเรียบร้อย
เด็กสมาธิสั้น
-เด็กซนไม่อยู่นิ่ง ซนมากผิดปกติ เคลื่อนไหวตลอดเวลา
-เด็กบางคนมีปัญหาเรื่องสมาธิบกพร่อง อาการหุนหันพลันแล่น
7.เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้
-เรียก ย่อๆว่า L.D.
-เด็กที่มีปัญหาการเรียนรู้เฉพาะอย่าง
-มีปัญหาการใช้ภาษา หรือการพูด การเขียน
-ไม่นับรวมเด็กที่มีปัญหาเพียงเล็กน้อยทางการเรียน เด็กที่มีปัญหาเนื่องจากความพิการหรือความบกพร่องทางร่างกาย
8.เด็กออทิสติก
-เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ออทิซึ่ม
-เด็กที่มีความบกพร่องอย่างรุนแรงในการสื่อสารความหมาย
-เด็กออทิสติกแต่ล่ะคนจะมีเอกลักษณ์ของตนเอง
-ติดตัวไปตลอดชีวิต
9.เด็กพิการซ้ำซ้อน
-เด็กที่มีความบกพร่องมากกว่า 1 อย่าง เป็นเหตุให้เกิดปัญหาในการเรียนรู้อย่างมาก
-เด็กปัญญาอ่อนที่สูญเสียการได้ยิน
-เด็กปัญญาอ่อนที่ตาบอด
-เด็กที่ทั้งหูหนวกและตาบอด
สะท้อนสิ่งที่ได้จากการเรียนการสอน
รู้และเข้าใจเด็กที่มีความต้องการพิเศษในแต่ละประเภท
สรุปโทรทัศน์ครู
วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน 2556
บันทึกการเรียนครั้งที่ 3
การเรียนการสอน
4.เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
แบ่งได้ 2 แบบคือ
1.ด้านร่างกาย
เด็กซี พี
-เกิดจากการเป็นอัมพาทของสมอง
-การเคลื่อนไหว การพูด พัฒนาการช้า
-อัมพาตเกร็ง สูญเสียการทรงตัว
เด็กโปลิโอ
-มีอาการกล้ามเนื้อลีบ เล็ก แต่ไม่มีผลกระทบต่อสติปัญญา
-ยืนไม่ได้หรืออาจปรับสภาพให้ยืนเดินด้วยอุปกรณ์เสริม
2.ด้านสุขภาพ
-ลมบ้าหมู
-ชักในช่วงเวลาสั้นๆ
-ชักแบบรุนแรง
-อาการชักแบบ Partial complex
-อาการไม่รู้สึกตัว
5.เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา
เด็กที่พูดไม่ชัด ออกเสียงผิดเพี้ยน อวัยวะมี่ใช้ในการพูดไม่สามารถเป็นไปตามลำดับขั้นตอน การใช้อวัยวะเพื่อพูดไม่เป็นดั่งตั้งใจซึ่งเกิดจาก
1.ความผิดปกติด้านการออกเสียง
2.ความผิดปกติด้านจังหวะเวลาของการพูดเช่น พูดรัว พูดติดอ่าง
3.ความผิดปกติด้านเสียง
4.ความผิดปกติทางการพูดและภาษา
สะท้อนสิ่งที่ได้จากการเรียนการสอน
ทำให้เรารู้จักเด็กพิเศษมากยิ่งขึ้น และทำให้รู้ถึงอาการชักต่างๆ
ทำให้แยกประเภทเด็กพิเศษได้
การเรียนการสอน
4.เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
แบ่งได้ 2 แบบคือ
1.ด้านร่างกาย
เด็กซี พี
-เกิดจากการเป็นอัมพาทของสมอง
-การเคลื่อนไหว การพูด พัฒนาการช้า
-อัมพาตเกร็ง สูญเสียการทรงตัว
เด็กโปลิโอ
-มีอาการกล้ามเนื้อลีบ เล็ก แต่ไม่มีผลกระทบต่อสติปัญญา
-ยืนไม่ได้หรืออาจปรับสภาพให้ยืนเดินด้วยอุปกรณ์เสริม
2.ด้านสุขภาพ
-ลมบ้าหมู
-ชักในช่วงเวลาสั้นๆ
-ชักแบบรุนแรง
-อาการชักแบบ Partial complex
-อาการไม่รู้สึกตัว
5.เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา
เด็กที่พูดไม่ชัด ออกเสียงผิดเพี้ยน อวัยวะมี่ใช้ในการพูดไม่สามารถเป็นไปตามลำดับขั้นตอน การใช้อวัยวะเพื่อพูดไม่เป็นดั่งตั้งใจซึ่งเกิดจาก
1.ความผิดปกติด้านการออกเสียง
2.ความผิดปกติด้านจังหวะเวลาของการพูดเช่น พูดรัว พูดติดอ่าง
3.ความผิดปกติด้านเสียง
4.ความผิดปกติทางการพูดและภาษา
สะท้อนสิ่งที่ได้จากการเรียนการสอน
ทำให้เรารู้จักเด็กพิเศษมากยิ่งขึ้น และทำให้รู้ถึงอาการชักต่างๆ
ทำให้แยกประเภทเด็กพิเศษได้
วัน พฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน 2556
บันทึกการเรียนครั้งที่ 2
การเรียนการสอน
ความหมายของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
1. ทางการแพทย์ มักจะเรียกเด็กที่มีความต้องการพิเศษเหล่านี้ว่า เด็กพิการ ดังนั้นเด็กที่มีความต้องการพิเศษจึงหมายถึง ผู้ที่มีความผิดปกติ ผู้ที่มีความบกพร่อง หรือ ผู้ที่มีการสูญเสียสมรรถภาพอาจเป็นความผิดปกติ
2. ทางการศึกษา ให้ความหมายเด็กที่มีความต้องการพิเศษว่า หมายถึงเด็กที่มี ความต้องการทางการศึกษาเฉพาะของตัวเอง ซึ่งจำเป็นต้องจัดการคือศึกษาให้ ต่างไปจากเด็กปกติทางด้านเนื้อหา หลักสูตรกระบวนการที่ใช้และการประเมินผล
การเรียนการสอน
ความหมายของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
1. ทางการแพทย์ มักจะเรียกเด็กที่มีความต้องการพิเศษเหล่านี้ว่า เด็กพิการ ดังนั้นเด็กที่มีความต้องการพิเศษจึงหมายถึง ผู้ที่มีความผิดปกติ ผู้ที่มีความบกพร่อง หรือ ผู้ที่มีการสูญเสียสมรรถภาพอาจเป็นความผิดปกติ
2. ทางการศึกษา ให้ความหมายเด็กที่มีความต้องการพิเศษว่า หมายถึงเด็กที่มี ความต้องการทางการศึกษาเฉพาะของตัวเอง ซึ่งจำเป็นต้องจัดการคือศึกษาให้ ต่างไปจากเด็กปกติทางด้านเนื้อหา หลักสูตรกระบวนการที่ใช้และการประเมินผล
ประเภทของเด็กพิเศษแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆคือ
1.กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความสามารถสูงเรียกโดยทั่วๆไปว่า เด็กปัญญาเลิศ
2.เด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่อง แบ่งออกเป็น 9 ประเภท
1.เด็กบกพร่องทางสติปัญญา
2.เด็กบกพร่องทางการได้ยิน
3.เด็กบกพร่องทางการมองเห็น
4.เด็กที่บกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
5.เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา
6.เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
7.เด็กที่มีปัญหาการเรียนรู้
8.เด็กออทิสติก
9.เด็กพิการซ้ำซ้อน
1.เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา
เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา หมายถึง เด็กที่มีพัฒนาการด้านร่างกาย สังคม อารมณ์ ภาษาและสติปัญญาล่าช้ากว่าเด็กปกติ เมื่อวัดสติปัญญาโดยใช้แบบทดสอบมาตรฐานแล้วปรากฎว่ามีสติปัญญาต่ำกว่าเด็กปกติโดยทั่วไป
เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาแบ่งตามระดับความรุนแรงออกเป็น 4 ระดับคือ
1. เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับน้อย (เชาว์ปัญญา 50-70) เป็นเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาที่เรียนหนังสือได้
2. เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับปานกลาง (เชาว์ปัญญา 35-49) เป็นเด็กที่พอฝึกอบรมได้
3. เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับรุนแรง (เชาว์ปัญญา20-34) เป็นเด็กที่ต้องได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์และได้รับการดูแลที่เหมาะสม
4. เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับรุนแรงมาก(เชาว์ปัญญาต่ำกว่า 20) เป็นเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาที่มีความจำกัดเฉพาะด้านต้องได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์และได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด
2. เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน
เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน หมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยินไม่สามารถรับฟังเสียงได้เหมือนเด็กปกติ ซึ่งอาจเป็นเด็กหูตึงหรือเด็กหูหนวกก็ได้ เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยินมี 2 ประเภท คือ
1.เด็กหูตึง หมายถึง เด็กที่มีการได้ยินเหลืออยู่บ้าง สามารถได้ยินได้ไม่ว่าจะใส่เครื่องช่วยฟัง หรือไม่ก็ตามเด็กหูตึงจะมีระดับการได้ยินในหูที่ดีกว่าอยู่ระหว่าง 26-89เดซิเบล ซึ่งคนปกติจะมีระดับการได้ยินอยู่ระหว่าง0-25 เดซิเบล
2. เด็กหูหนวก หมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยินในหูข้างที่ดีตั้งแต่ 90 เดซิเบลขึ้นไปไม่สามารถได้ยินเสียงพูดดัง อาจรับรู้เสียงบางเสียงได้จากการสั่นสะเทือน
3. เด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็น
เด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็น หมายถึงเด็กที่มองไม่เห็น (ตาบอดสนิท) หรือพอเห็นแสงเลือนรางและมีความบกพร่องทางสายตาทั้งสองข้าง โดยมีความสามารถในการเห็นได้ไม่ถึงหนึ่งส่วนสองของคนสายตาปกติ
เด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็น จำแนกได้ 2 ประเภท คือ
1.1 เด็กตาบอด หมายถึง เด็กที่มองไม่เห็น หรืออาจจะมองเห็นบ้างไม่มากนัก แต่ไม่สามารถใช้สายตาให้เป็นประโยชน์ในการเรียนได้
1.2 เด็กสายตาเลือนลาง หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่องทางสายตา สามารถมองเห็นแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ
สะท้อนสิ่งที่ได้จากการเรียนการสอน
เด็กทุกคนที่เกิดมาไม่ว่าจะเป็นเด็กปกติหรือเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ควรจะได้รับการจัดการศึกษาที่เท่าเทียมกันเราไม่ควรที่จะปิดกั้นโอกาสเด็กเหล่านี้ อนาคตเราเป็นครูเราควรที่จะเปิดใจและให้โอกาส ไม่ควรไปซ้ำเติม
วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2556
วัน พฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน 2556
บันทึกการเรียนครั้งที่ 1
การเรียนการสอน
วันนี้เป็นวันแรกของการเรียนการสอนจึงมาการปฐมนิเทศก่อนเรียน แจกใบบันทึกการเข้าเรียนการเข้าเรียนทุกครั้งควรแต่งตัวให้เรียบร้อย และบอกรายละเอียดต่างๆเกี่ยวกับวิชาที่จะเรียน ว่าจะมีงานอะไรบ้าง และให้นักศึกษาทำแผนผังเกี่ยวกับเด็กพิเศษ
สะท้อนสิ่งที่ได้จากการเรียนการสอน
ได้ทบทวนความรู้เดิมที่มีแก่เด็กพิเศษ
การเรียนการสอน
วันนี้เป็นวันแรกของการเรียนการสอนจึงมาการปฐมนิเทศก่อนเรียน แจกใบบันทึกการเข้าเรียนการเข้าเรียนทุกครั้งควรแต่งตัวให้เรียบร้อย และบอกรายละเอียดต่างๆเกี่ยวกับวิชาที่จะเรียน ว่าจะมีงานอะไรบ้าง และให้นักศึกษาทำแผนผังเกี่ยวกับเด็กพิเศษ
สะท้อนสิ่งที่ได้จากการเรียนการสอน
ได้ทบทวนความรู้เดิมที่มีแก่เด็กพิเศษ
สรุปเกี่ยวกับเด็กพิเศษ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)